วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เวลาแดดแรงเราก็ควรใส่แว่นตากันแสงแดดเพื่อถนอมสายตาเราได้ดีกว่าโดนแสงโดยตรง



มีร้อนและหนาวตรงกันข้ามกันในขณะที่มีฤดูขั้นกลางระหว่างร้อนกับหนาวคือฤดูฝนกับฤดูแล้งนี่คือการแยก 2 เป็น 4 จาก 4 ก็เป็น 8ได้โดยให้ความสำคัญต่อช่วงต่อเนื่องระหว่างฤดูซึ่งถือว่าเป็นช่วงจังหวะของการเปลี่ยนผันที่สำคัญจาก 8 ก็แยกแยะออกไปได้จนถึง 64 ช่วงจังหวะหรือสภาวการณ์ดังนั้น ปรัชญาเต๋าจะให้ความสำคัญต่อเรื่อง จังหวะและเวลาอย่างยิ่ง กล่าวคือ เวลา กับ ธรรมแยกออกจากกันไม่ได้ นี่คือฐานสำคัญที่เชื่อมระหว่างมิติของธรรมชาติกับมิติแห่งเวลาฐานคิดเรื่องนี้คือ แว่นตาแฟชั่น ที่มาของงานที่โด่งดังของจีนโบราณ เรื่อง I chingซึ่งกล่าวถึงจังหวะเวลา และการผลิกผันไปมางานนี้กลายเป็นฐานคิดที่สำคัญต่อเรื่อง ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของซาวจีนมาจนถึงทุกวันนี้นอกจากนี้ เวลายังขึ้นกับจุดที่ตั้ง หรือ Spaceด้วย เพราะจุดที่ตั้งและเวลาไม่สามารถคืกษาแยกแยะออกจากกันได้ เพราะในสถานที่หนึ่ง ๆแม้แต่ในช่วงจังหวะเดียวกัน แว่นแฟชั่น ก็จะส่งผลแตกต่างกันดังนั้น แนวคืดนี้ได้พัฒนาเป็นฐานคิดเรื่อง ฮวงจุ้ย ที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ที่น่าที่งที่สุดคือการพบว่า DNAซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตกับหลักหยางหยิน ที่แยกเป็น 64 องค์ประกอบหรือจังหวะนั้น ตรงกันอย่างน่าพิศวงใครสนใจเรื่องนี้ ลองอ่านงานเรื่อง Tao ofChaos ดูสรุปตอนนี้คือเต๋าไม่ได้บอกว่าทำไมธรรมชาติเป็นอนิจจัง และทุกขังเท่านั้น เต๋ายังสามารถบอกได้ว่าทำไมธรรมชาติมิฐานประกอบพื้นฐานที่ซับช้อนประกอบขึ้นจากองค์ประกอบพื้นฐานมากมายหรือพูดอย่างสรุปคือธรรมชาติทั้งหมดเป็นองค์ประกอบซึ่งกันและกันทุกอย่างก่อกำเนิดขึ้นจาก 2 ฐาน (ด้านตรงข้าม)พัฒนาขึ้นเป็น ฐาน 64 แว่นแฟชั่น ราคา แล้วจากนั้นก็ขยายตัวออกไปไม่สินสุดระบบคิดนี้คือฐานคิดที่ช่วยอธิบายว่าทำไมธรรมชาติจึงหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ยิ่งแต่ที่สำคัญของแนวคิดเต๋า คือความเชื่อว่าธรรมชาติทุกอย่างเชื่อมต่อกันหรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ เต๋า มีอยู่ในทุกสิงทุกอย่างนึ่หมายความว่า ทุกอย่างในธรรมชาติประกอบเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวความเป็นหนึ่งเดียว แว่นตากันแสงแดด ราคา อันนี้จะคล้ายกับการอธิบายของนักฟิสิกส์สมัยใหม่ที่เชื่อว่า ทุกอย่างประกอบกันเป็นเครือข่ายของชีวิต (Web of Life)สืบทอดพัฒนากันมา เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดแต่อะไรเล่าคือ เต๋าคำถามนี้คงเป็นปัญหาทางปรัชญาที่ต้องถกเถียงกันแบบไม่สินสุดเช่นกันแต่มีสิงหนึ่งที่พออธิบายได้คือ สิงที่คนจีนเรียกว่าพลังหรือ ชี่พลังคือสิงที่มีอยู่ในทุกสิงทุกอย่างนี่คือที่มาของความเชื่อเรื่องชี่กง เรื่องพลังจักรวาล และความเชื่อเรื่องกำลังภายในเต๋ากล่าวว่าเบื้องหลังความว่างเปล่าที่ดูไม่มีอะไร คือ พลังนอกจากนี้ ปราชญ์จีนจะเชื่อว่าพลังสามารถเชื่อมต่อ แลกเปลี่ยนกันได้พลัง คือ ฐานของธรรม (ชาติ) หรือเปล่า
แว่นตากันแดด
จริงหรือป่าวที่เราใส่แว่นตาแฟชั่นแล้วทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นหรือว่าเราคิดไปเองแล้วทำอย่างไรให้ดูดี


จริงหรือที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาหรือหลักไตรลักษณ์ หลักอิทัปปัจจยตา หลักวัฏจักรแห่งกรรมเท่านั้นคือหลักพื้นฐานของธรรมชาติทั้งมวลหรือว่ามีอย่างอื่นๆ อีกนอกเหนือกว่านี้หรือสรุปลันๆ ว่า ธรรมพื้นฐานทั้งหมดนั้นได้ถูกค้นพบจนหมดสินแล้ว โดยพระพุทธเจ้าและถูกบรรจุไว้แล้วในพระไตรปิฎก หรือว่ายังมีธรรมพื้นฐานอื่นๆ ที่มีค่าหลงเหลืออยู่ปริศนาธรรมที่ซับซ้อนผมโชคดีอย่างหนึ่งคือ ผมมีเชื้อจีน เชื้อไทย
และเชื้อแขกผสมกันดังนั้น แว่นตาแนวใหม่ วัฒนธรรมที่ผมเรียนรู้จึงมีฐานทั้งแขก จีนและไทย ในขณะที่ผมคงความเป็นไทในตัวของตัวเองคือเป็นพวกที่ชอบการผสมผสานทางวัฒนธรรมอาจจะเพราะได้อิทธิพลของจีนพุทธศาสนาที่ผมนับถือจึงไม่ใช่พุทธแบบหินยาน หรือยานเล็ก แต่ผมจะเชื่อแบบมหายานหรือยานใหญ่มากกว่ามหายานเชื่อว่า มีพระพุทธเจ้าได้หลายองค์ กล่าวคือมีพระพุทธเจ้าก่อนพระพุทธเจ้าและมีพระพุทธเจ้าหลังจากพระพุทธเจ้าการตรัสรู้นั้นไม่จำกัดเพียงแค่องค์พระพุทธเจ้าชาวอินเดียอย่างที่เราเข้าใจเท่านั้นธรรมจึงไมใช่สิงที่ถูกบรรจุไว้ในพระไตรปิฎกเท่านั้นในสมัยพุทธกาลนั้นปรัชญาที่เกี่ยวกับธรรมชาติมีฐานจากศูนย์วัฒนธรรมโลกโบราณ แว่นตาแฟชั่น ราคา ศูนย์หนึ่งคือ อินเดียหรือปรัชญาพุทธ อิกศูนย์หนึ่งคือ จีน ซึ่งให้กำเนิดปรัชญาธรรมชาติว่าด้วยเต่าคนไทยมักจะเรียนรู้เรื่องของเต่าน้อยมากเพราะเต่าเป็นลัทธิปรัชญามากกว่าจะเป็นศาสนาที่พูดกันมากหน่อยกิเห็นจะเป็นเรื่อง หยางกับหยินลักสองสามเดือนก่อนผมไปที่อุบลราชธานีไปดูพิพิธภัณฑ์โบราณ ที่นั่นมีพระพุทธรูปซึ่งเข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูปลาวปางสมาธิ แต่ที่แปลกคือปรากฏมีดวงแก้ว ณ จุดสมาธิที่ท้องแต่ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ ในดวงแก้วมีรูปหยางกับหยินเป็นสัญลักษณ์อยู่กลางดวงแก้วผมยืนมองอยู่นานสักพักหนึ่งจึงคิดได้ว่าเตากับพุทธประสานกันได้ เพราะฐานปรัชญาคล้ายกันคนที่เข้าถึงพุทธก็สามารถเข้าถึงเตำได้เช่นกันนักฟิสิกส์ใหม่ทางตะวันตกนั้นสนใจเตำมากกว่าพุทธด้วยซํ้าไป ตัวอย่างเช่น ฟริต จ๊อป คาปร้าเอง ก็เขียนงานเรื่องเตำแว่นตาแห่งฟิสิกส์ขึ้นพูดอย่างสรุปคือ เต่ากับความเชื่อทางฟิสิกส์สมัยใหม่ใกล้เคียงกันอย่างยิ่งนอกจากนี้เดี๋ยวนี้ฟิสิกส์สมัยใหม่กลับมายืนยันความถูกต้องของหลักพุทธ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแต่มีคำถาม หนึ่ง ที่พุทธธรรมยังไม่ได้ตอบทำไมเล่าธรรมชาติจึงอนิจจัง ทุกชังทำไมจึงอนัตตาคำถามนี้กลายเป็นปริศนาธรรมช้อนปริศนาธรรมที่รอผู้ตอบผู้ตอบปริศนาธรรมที่ซับช้อนนี้!ด้คิอ เตำเตำบอกว่าฐานของธรรมชาติคือเอกภาพของด้านตรงกันข้ามที่มีชีวิตอยู่ด้วยกันด้านตรงข้ามนี้ คือ หยางกับหยิงหยืนคือปรากฏการณ์ที่คล้ายกับด้านบวกหยางคือปรากฏการณ์ แว่นตาสุดฮิต ที่คล้ายกับเป็นด้านลบเมื่อฐานของ ธรรมมีสิงตรงข้ามดำรงอยู่สภาวะที่ต่อสู้เผชิญหน้ากัน แทรกซึม และแปรเปลี่ยนตลอดเวลาจึงเกิดขึ้นดังนั้น ธรรมชาติจึงอนิจจังยิ่งหลักพื้นฐานนี้ใกล้กับฟิสิกส์สมัยใหม่มากเพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าเรื่องอะตอมก็พบว่าภายในอะตอมประกอบด้วยเอกภาพของด้านตรงข้ามดำรงอยู่จริง กล่าวคือมีโปรตรอนเป็นพลังด้านบวก มีอิเล็กตรอนเป็นพลังด้านลบเคลื่อนตัวอยู่รอบๆ โปรตรอนและนิวตรอน และมีนิวตรอนมีคุณสมบัติที่เป็นกลางแต่ปรากฏการณ์ 2 ด้านของเตำนี้ใช่ ด้านแบบหยาบๆ หรือมีจริงเพียง 2 ด้านเท่านั้นเตำถีอว่า ด้านเป็นเพียงฐานธรรมพื้นฐานเท่านั้นจาก 2 ก็แยกออกเป็น 4 ได้ตัวอย่างเช่น ฤดูกาล จะเกิดปรากฏการณ์แบบ2 เป็น 4 กล่าวคือ
แว่นตากันแดด
ใส่แว่นตากันแสงแดดช่วยถนอมสายได้จริงหรอ หรือพวกเราคิดกันไปเอง???? 



กับด้านที่ไม่ปรากฏให้เห็นและเช้าใจได้ หัวใจของธรรมนั้น อยู่ด้านที่ตรงกันข้ามกับด้านที่ปรากฏให้เห็นจับต้องและสัมผัสได้ดังนั้น สิงที่เรียกว่า ความรู้ ปรกติจะใช้คำว่า ปัญญา จากพุทธและสิงที่เรียกว่า ความรู้ จากวิทยาศาสตร์ จึงมักตรงข้ามกันเพราะ ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์เกิดจากการเรียนรู้จาก ปรากฏการณ์ภายนอกที่เห็นได้ สัมผัสได้ และพิสูจน์ได้เป็นสำคัญ คำว่า พิสูจน์ ยุค ศรีอาริยะการมองโลกเช่นนี้ ต่างกับสายวิทยาศาสตร์ ที่แยกโลกออกเป็นส่วนๆ แว่นตาถนอมสายตา แยกสังคมออกเป็นส่วนๆ และแยกมนุษย์ออกเป็นกลุ่มๆ และวางสมมุติฐานราวกับว่าแต่ละส่วนสามารถดำรงอยู่ได้เอง อย่างอิสระจากส่วนอื่นๆ นอกจากนี้ กรอบของการติกษาทางวิทยาศาตร์ก็แยกออกเป็นส่วนๆเช่นกันถ้าเราติกษาสังคมมนุษย์ผ่านระบบระบบต่างแต่ละระบบก็จะกลายเป็นกรอบแห่งการติกษา และการเรียนรู้ ถ้าเราติกษๅมนุษย์ เราก็จะติกษาร่างกายและจิตใจของบุคคลนั้นๆ โดยมีภาพลวงว่าร่างกายและจิตใจของแต่ละคนนั้นสามารถเข้าใจได้โดยการติกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นไปของคนคนนั้นเท่านั้นกล่าวโดยสรุปก็คือ ฐานปรัชญาวิทยาศาสตร์ แตกต่างอย่างสินเชิงจากฐานคิดทางตะวันออกนอกจากนี้วิธีการติกษาก็ต่างกัน วิทยาศาสตร์ใช้การวิจัย เจาะลึกติกษาตัวสสาร หรือปรากฏการณ์แต่ละชิ้นเป็นสำคัญหลังจากนั้นก็ใช้การพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ อย่างไร ผลจากการวิจัย คือ คำตอบวิธีการติกษาแบบตะวันออก ใช้การเฝ็าสังเกตปรากฏการณ์และใช้ แว่นตาสุดฮิต ปัญญาที่หยั่งรู้ (Intuition) เจาะหา ธรรม ที่อยู่ภายในที่ใกล้เคียงกัน คือ ฐานวิเคราะห์ พุทธ และเต่า กับแนวทางของวิทยาศาสตร์ใช้ฐานวิเคราะห์ผ่านระบบเหตุและผลเช่นเดียวกันแต่ก็แตกต่างกันเพราะพุทธและเต่า ถือว่าธรรมมีสองด้าน คือ ด้านที่รับรู้ไดีโดยทั่วไปและปรากฏให้เห็นกับด้านที่ไม่ปรากฏให้เห็นและเข้าใจได้ หัวใจของธรรมนั้น อยู่ด้านที่ตรงกันข้ามกับด้านที่ปรากฏให้เห็นจับต้องและสัมผัสได้ดังนั้น สิงที่เรียกว่า ความรู้ (ปรกติจะใช้คำว่า ปัญญา)จากพุทธและสิงที่เรียกว่า ความรู้ จากวิทยาศาสตร์ จึงมักตรงข้ามกันเพราะ ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์เกิดจากการเรียนรู้จากปรากฏการณ์ภายนอกที่เห็นได้ สัมผัสได้ และพิสูจน์ได้เป็นสำคัญ คำว่า พิสูจน์ประการแรก กฎแห่งวัฎจักร หรือกฎแห่งกรรม ประสานกับการ แว่นตาแฟชั่น เวียนว่ายตายเกิด ที่ไม่สิ นสุด ภาษาทางศาสนาเรียกกฎนี้ว่าปฏิจจสมุปบาทกล่าวคือ การดำรงอยู่ต้องอาตัยชึ่งกันและกัน (กรรมที่กระทำต่อกัน)และการเคลื่อนตัวไปด้วยกันอย่างเป็นวัฎจักรที่หมุนเวียน ผ่านภพ ชาติต่างๆ ที่ไม่สินสุดหากเอากฎวัฎจักรนี้มาเชื่อมกับกฎแห่งกรรม (ที่บรรดามนุษย์ ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งกิเลสตัณหา ความโลภ โกรธหลงที่เพิ่มพูนขึ้น)แนวคิดในเซิงทิศทางวิวัฒน์แบบตะวันออก น่าจะแตกต่างตรงกันข้ามจากแนววิทยาศาสตร์ คือน่าจะก้าวไปสู่ความเลื่อมถอยมากกว่าที่จะก้าวไปข้างหน้าเหมือนความเชื่อเรื่อง การวิวัฒน์แบบวิทยาศาตร์นี่อาจจะเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า ในที่สุดแล้วสังคมมนุษย์คงหนีกลียุค ไปไม่พ้นกฎประการที่สอง คือกฎแห่งเหตุและผล และความเชื่อมโยงเกาะเกี่ยวกันของเหตุและผลอย่างเป็นลูกโซ่ กล่าวคือธรรมชาติทุกอย่างมีเงื่อนที่มาหรือสาเหตุที่แน่นอนสาเหตุแว่นแฟชั่นและผลนี้จะเชื่อมโยงกันอย่างเป็นชุดหรือระบบจะเริ่มจากอะไร ที่ไหน ศึกษาสิงใดก็สามารถเจาะลึกไปถึงสาเหตุพื้นฐานได้ภาษาทางพระเรียกกฎฃ้อนี้ว่า อิทัปปัจจยตาการตรัสเของพระพุทธเจ้าเองก็สะท้อนถึงการเข้าใจกฎข้อนี้ โดยเฉพาะข้อสรุปว่าด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรคหมายความว่า จะแก้ทุกข์ได้ ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าอะไรคือสาเหตุหรือต้นเหตุที่มาแห่งทุกข์นั้นๆ นอกจากนี้ยังต้องรู้ถึงหนทางในการแก้ทุกข์หรือการมียุทธวิธีในการแก้ทุกข์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในแต่ละสภาพการณ์ด้วยมีคำกล่าวของพระพุทธเจ้าที่ว่า เมื่อ “คับเหตุได้ ทุกอย่างก็คับ”ข้อสรุปนี้เอง คือที่มาสำคัญของสิงที่เรียกว่า การตรัสรู้ กล่าวคือ ถ้าคับเหตุที่มาแห่งทุกข้ไคั ก็มีทางที่จะหาทางคับทุกข์ นี่คือที่มาของแนวคิดเรื่องนิพพาน
แว่นตากันแดด


วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ในที่สุดเราก็ได้แว่นตาสุดฮิตมาใช้แล้ว


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แว่นตาแฟชั่น


ว่าในที่สุดมนุษย์ต้องเอาชนะธรรมชาติได้ ความสามารถจะเอาชนะได้นี้คือที่มาของปรัชญาสายวิทยาศาสตร์ ที่เรียกว่า เสรีภาพ (Freedom) ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการต่อสู้และเอาชนะธรรมชาตินี่หมายความว่าฐานคิดทั้ง 2 ฐาน แว่นตาแนวใหม่ มีความใกล้กันตรงที่มองว่าชีวิตคือความยากลำบากเช่นเดียวกัน แต่แนวทางสู่ “เสรีภาพ” นั้นต่างกันเสรีภาพแบบตะวันออก เป็นการปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ (เต่า) และเป็นการสลัดหลุดหรือนิพพาน (พุทธ) มากกว่าจะเป็นการต่อสู้เอาชนะและดัดแปลงธรรมชาติแต่ที่สำคัญและแตกต่างกันอย่างยิ่งคือ ฐานของปรัชญาตะวันตกมองโลกผ่านตัวตนที่แน่นอน ตัวตนในที่นี้คือสิงที่จับต้อง และมองเห็นได้เป็นสำคัญ และมีวิถีการมองโลกและลังคมอย่างเป็นระบบ โดยมองว่า ทุกอย่างประกอบด้วยระบบที่แน่นอนแต่ละระบบก็มีองค์ประกอบและกฎเกณฑ์ที่แน่นอนเป็นอิสระสัมผัสกับสิงอื่นๆการดำรงอยู่ของลังคมมนุษย์ ถือว่าเป็นหน่วย หรือระบบหนึ่งจักรวาลก็คือระบบอีกระบบหนึ่งเช่นกันการมองเช่นนี้ จึงมีความเชื่อใน “ตัวตน’’แห่งความเป็นระบบที่แน่นอนแต่ละระบบแว่นถนอมสายตาเป็นฐานของความเป็นจริงปรัชญาตะวันออกโดยเฉพาะปรัชญาพุทธ และเต่า คือฐานของความจริงคือสภาวะไร้ตัวตน และไร้ขอบเขต หรือกรอบที่ครอบอยู่ พูดง่ายๆ ได้ว่าตัวตนที่มีอยู่ คือมายาภาพอย่างหนึ่ง เนื่องจากประการแรก ตัวตนเหล่านี้ เป็นสิงชั่วคราวประการที่สอง การดำรงอยู่ของตัวตนหนึ่งขึ้นต่อการดำรงอยู่ของสิงอื่นๆ หรือการซ้อนตัวของระบบที่ชับซ้อน (ไม่สามารถดำรงอยู่อย่างเอกกะได้) กล่าวคือ มีมนุษย์ก็แว่นตากันแสงแดดต้องมีโลก มีโลกก็ต้องมีจักรวาล ทุกอย่างคือส่วนประกอบ หรือเงื่อนไขของกันและกันทั้งหมด ทั้งหมดที่ซ้อนทับกัน ก่อตัวเป็นระบบที่ซับซ้อนยิ่ง และทั้งหมดคือหนึ่งเดียวเท่านั้น ยุค ศรีอาริยะการมองโลกเช่นนี้ ต่างกับสายวิทยาศาสตร์ ที่แยกโลกออกเป็นส่วนๆ แยกสังคมออกเป็นส่วนๆ และแยกมนุษย์ออกเป็นกลุ่มๆ และวางสมมุติฐานราวกับว่าแต่ละส่วนสามารถดำรงอยู่ได้เอง อย่างอิสระจากส่วนอื่นๆ นอกจากนี้ กรอบของการติกษาทางวิทยาศาตร์ก็แยกออกเป็นส่วนๆเช่นกันถ้าเราติกษาสังคมมนุษย์ผ่านระบบ ระบบต่างแต่ละระบบก็จะกลายเป็นกรอบแห่งการติกษา และการเรียนรู้ ถ้าเราติกษามนุษย์ เราก็จะติกษาร่างกายและจิตใจของบุคคลนั้นๆ แว่นตากันแดด ราคา โดยมีภาพลวงว่าร่างกายและจิตใจของแต่ละคนนั้นสามารถเข้าใจได้โดยการติกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นไปของคนคนนั้นเท่านั้นกล่าวโดยสรุปก็คือ ฐานปรัชญาวิทยาศาสตร์ แตกต่างอย่างสินเชิงจากฐานคิดทางตะวันออกนอกจากนี้วิธีการติกษาก็ต่างกัน วิทยาศาสตร์ใช้การวิจัย เจาะลึกติกษาตัวสสาร หรือปรากฎการณ์แต่ละชิ้นเป็นสำคัญหลังจากนั้นก็ใช้การพิสูจน์ว่าจรีงหรีอเม อย่างเร ผลจากการวิจัย คอ คำตอบวิธีการติกษาแบบตะวันออก ใช้การเฝ็าสังเกตปรากฏการณ์และใช้ปัญญาที่หยั่งรู้ (Intuition) เจาะหา “ธรรม” ที่อยู่ภายในที่ใกล้เคียงกัน คือ ฐานวิเคราะห์ พุทธ และเต่า กับแนวทางของวิทยาศาสตร์ใช้ฐานวิเคราะห์ผ่านระบบเหตุและผลเช่นเดียวกันที่รับรู้ได้โดยทั่วไปและปรากฏให้เห็น
แว่นตากันแดด
การประกอบแว่นตากันแสงแดดและการดูแลรักษาแว่นตากันแสงแดดทำได้โดยไม่ยากนัก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ถอดแว่น

ผมสรุปลืงที่ท่านพุทธทาสฝากไว้คือ“ธรรม” คือ ภาพปริศนาอย่างหนึ่ง คือ ภาพช้อนภาพ ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับทุกอย่างที่เราเห็น เราเข้าใจ และแน่นอน ย่อมตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงจากสามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไปความรู้ทั้งหมดที่เรารู้นั้นหาได้ผ่านมายาภาพนื้ไม่หากคือผลผลิตแห่งมายาภาพที่เราเห็นเท่านั้นเพราะไม่มีใครคิดว่า “ธรรม’นั้นคือภาพช้อนที่ช้อนอยู่ภายในพูดในทางกลับกันคือผู้ที่รู้คือ ผู้ที่ไม่รู้ เพราะที่รู้ส่วนใหญ่ รู้จากปรากฏการณ์ที่เห็นและสรุปจากสิงที่เห็นอย่างง่ายๆ ไม่คิดว่า ธรรม คือ ปริศนาใต้ภาพการจะเข้าถึง “นิพพาน’ได้ ต้องเริ่มเข้าใจว่า นิพพาน”แว่นตาเท่ๆก็คือปริศนาอย่างหนึ่งเช่นกันแต่ก่อนที่จะเข้าถึงความเข้าใจว่าอะไรคือ “นิพพาน”ก็ต้องเข้าใจว่าอะไรคือธรรม กล่าวคือเท่ๆ ต้องเข้าถึงธรรม” ก่อนขอโทษผู้อ่านด้วยที่จะเป็นงานออกในแนว ปรัชญา และปัญญาเพราะผมเชื่อว่าพุทธธรรมโดยเนื้อในแล้ว คือ ปรัชญา และปัญญาไม่ใช่ศาสนาดังนั้น การเข้าถึงพุทธธรรมแนวปรัชญาและปัญญาจึงแตกต่างอย่างสินเชิงจากวิถีแห่งลัทธิศาสนาที่ยึดถือกันโดยทั่วไป วิถีลัทธิศาสนาคือการไปเปิดตำราหรือคัมภีร์ดู อยากจะรู้ว่า อะไรคือนิพพานก็อ่านจากพระไตรปิฎกอะไรคือ “ธรรมะ”ธรรมะในที่นื้ คือ ธรรมชาติ หรือการเข้าถึง การเรียนรู้ธรรมชาติที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนั้น มีวิถีการเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติแบบใหญ่ๆแบบแรก คือ วิถีปรัชญาตะวันออก (ในที่นื้ ผมจะพูดเฉพาะพุทธและเต่าเป็นสำคัญ)แว่นตาสุดแนวแบบที่สอง คือ วิถีวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์ยุคนิวตัน ไม่รวมไปถึงฟิสิกส์สมัยใหม่ นับตั้งแต่ควอนตันฟิสิกส์เป็นต้นมา)คนทั่วไปมักจะไปคิดว่าศาสนาพุทธ กับ “วิทยาศาสตร์”ที่พัฒนาขึ้นมาหลังจาก ยุค Enlightenment ที่เกิดขึ้นในยุโรป มีความสอดคล้องกันความจริงแล้วทั้ง 2 ฐานระบบคืดมีรอยแยกที่ไม่อาจจะเชื่อมกันได้แม้แต่น้อยรอยแยกนี้เป็นรอยแยกบนฐานคิดเกี่ยวกับการเข้าใจสภาวะธรรม(ธรรมชาติ) ที่แตกต่างกันอย่างสินเชิงฐานคิดของวิทยาศาสตร์จะเริ่มจากปรากฏการณ์ที่จับต้องได้ เช่น สสารใดสสารหนึ่ง หรือระบบใดระบบหนึ่งเป็นสำคัญฐานคิดของปรัชญาตะวันออกจะเริ่มจากการคิดว่าปรากฏการณ์ที่เห็นคือภาพมายา ‘ธรรม” ดำรงอยู่ใต้มายาภาพเหล่านั้น หมายความว่าธรรมชาติคือ ปริศนาอย่างหนึ่ง หรือความจริง คือสิงที่อยู่ใต้ปรากฏการณ์หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง คือ ธรรมชาติอย่างน้อยมี 2 ชั้น ดำรงอยู่ด้วยกัน และตรงกันข้ามกันอย่างยิ่ง จะเข้าใจ ‘ธรรม”ที่เป็นฐานของธรรมชาติจำเป็นต้องใช้ปัญญาค้นคิดมองผ่านมายาภาพที่เห็นให็ได้ดังนั้น ฐานคิดของชุดปรัชญาแว่นตาฮิตๆตะวันออกกับฐานคิดของวิทยาศาสตร์จึงแตกออกจากกันอย่างสินเชิงสภาวะธรรมของพุทธธรรม คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ในขณะที่พื้นฐานของสภาวะธรรมของ “วิทยาศาสตร์” ก่อนยุคฟิสิกส์ใหม่คือนิจจัง สภาวะแห่งความไม่จำกัด และสภาวะแห่งตัวตน (อัตตา)ที่กล่าวว่าเป็นนิจจังเพราะหลักวิทยาศาสตร์ มีความเชื่อพื้นฐานว่าระบบทุกระบบมีเสถียรภาพที่แน่นอนเป็นฐานของระบบ ตัวอย่างเช่นระบบจักรวาล ก็มีเสถียรภาพเป็นฐานหลักจะมีการเสิยดุลของระบบเกิดขึ้นก็เป็นเพียงสภาวะชั่วคราวเท่านั้นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์จึงแว่นตาถนอมสายตาแตกต่างอย่างสินเชิงจากปรัชญาตะวันออกที่เชื่อว่าสภาวะอนิจจัง คือฐานของธรรมชาติ และระบบสังคมทุกระบบสภาวะที่มีเสถียรภาพ คือ สภาวะชั่วคราวสภาวะทุกขัง คือ สภาวะจำกัด โดยทั่วไปคือความจำกัดของทุกสิงในการคงสภาพหรือดำรงอยู่อย่างเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นตลอดไป นอกจากนี้ทุกอย่างตกอยู่ในสภาวะถูกกำหนด และกระทำจากสิงอื่นๆ มีสภาวะแห่งความทุกข์ คือไม่อาจจะทำอย่างที่ใจตัวเองชอบ และปรารถนาได้ หรือใช้ภาษาอย่างที่เข้าใจกันง่ายๆ คือมีกฎแห่งกรรม หรือชะตากรรมคอยกำกับอยู่ตลอดเวลาหลักวิทยาศาสตร์จะวางอยู่บนความเชื่อเรื่องความทุกข์ยากเช่นกันกล่าวคือ ทุกชีวิตเกิดมาก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ หรือภาษาอังกฤษว่า Struggleแต่จะวางอยู่บนความเชื่อเรื่องความยิ่งใหญ่ และไม่จำกัดชองมนุษย์โดยเชื่อ
แว่นตากันแดด
ใส่แว่นตากันแดดแล้วดูดี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แว่นตากันแดด

คนที่อ่านบทความชิ้นนี้ต่อ คงต้องระวังสักนิดเพราะผมจะตีความ ธรรม ตามแนวปัญญา และแนวมหายาน การตีความนี้จึงมีกรอบจำกัดภายใต้เส้นทางที่จำกัดอันหนึ่งเช่นกันนอกจากนี้ ต้องตระหนักว่าผมไม่ใช่คนที่คืกษาธรรมจนทะลุปรุโปร่งอย่างเช่นบรรดาบุคคลที่เข้าใจ หรือคิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องธรรม
แล้วผมเป็นเพียงคนที่สนใจติดตาม และชอบอ่านหนังสือเรื่อง ธรรม เท่านั้นแต่ถึงอย่างไร ผมคิดว่า คำว่า “ธรรม” และ “นิพพาน” ก็คงไม่ได้ผูกขาด แว่นตาแฟชั้่น โดยพระ หรือโดยผู้ที่อ้างตัวว่ารู้ธรรมอย่างลึกซึ้งแต่เพียงฝ่ายเดียวเพราะ สภาวะธรรม คือ ปริศนาอย่างหนึ่งที่บอกว่าเป็นปริศนา เพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาครุ่นคิด ซํ้าแล้วชํ้าอีกแม้แต่คำตอบที่ดูเหมือนพบแล้ว ก็อาจจะยังเป็นปริศนาอยู่เช่นเดิมปริศนาธรรมก่อนเขียนบทความชิ้นนี้ผมได้เดินทางไปสวนโมกขพลารามที่สุราษฎร์ธานี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปสวนโมกข์ฯความตั้งใจคือ อยากจะไปกราบท่านพุทธทาสสักครั้งหลังจากได้กราบท่าน ก็เดินไปดูรอบๆแม้ว่าท่านพุทธทาสจากโลกนี้!ปแล้ว แต่ร่องรอยแห่งความคิด และความเชื่อของท่านก็ดำรงอยู่สิงที่ท่านทิ้งไว้ และสำคัญยิ่งคือ ภาพปริศนาธรรมหรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ธรรม คือปริศนา หรือคำถามคนที่จะเข้าใจธรรมได้ ก็ต้องเข้าใจปริศนาธรรม มีแต่คำถามมากมายที่รออยู่ ที่ต้องการคำตอบนเทธวินทิในพิพิธภัณฑ์แห่งธรรมะของท่านแทนที่จะเป็นข้อเขียนจากพระไตรปิฎกกลับมีภาพมากมายสร้างปริศนาธรรมขึ้น แว่นตาแนวใหม่ ส่วนใหญ่เป็นภาพเซนผมเดินผ่านภาพเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะเคยเห็นแล้ว ตามหนังสือเช่นทั่วไป (เช่นเป็นมหายานประ๓ทหนึ่งเช่นกัน)มีภาพหนึ่งที่ผมหยุดยืนดู และรู้สืกประทับใจคือภาพพระเซนยกมือไหว้ท่อนไม้แห้งตายท่อนหนึ่ง (หรือไม่ก็ก้อนหิน)ที่หยุดดูเพราะผมเคยเห็นรูปปันพระเชน ปันเป็นรูปพระพุทธเจ้ายกมือพนมมาก่อนหน้านี้ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงพนมมือท่านไหวใคร หรือว่าท่านไหว้ผู้ที่ไปไหว้ท่านที่ผมประทับใจคือ ภาพนี้ดูราวจะบอกว่า ธรรม นั้น มีอยู่ทุกหนทุกแห่งการเป็น “พระ” หรือผู้รู้ทางธรรม หรือผู้ตรัสรู้แล้ว ก็หาได้เป็นผู้สูงสุดไม่ ผู้รู้ธรรมล้วนแล้วแต่คือผู้ที่ให้ความเคารพผู้อื่นเสมอสำหรับคนไทย เราคงเห็นแต่ซาวบ้านที่ยกมือไหว้พระ ไม่เคยเห็นพระยกมือไหว้ชาวบ้าน นอกจากนี้ก็เห็น พระไหว้พระพุทธรูป ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นคงไม่มีพระที่ไหนไหว้ต้นไม้ที่ตายซากหลังจากเดินดูพิพิธภัณฑ์ก็จบที่ปริศนาธรรมสุดท้ายว่าด้วยนิพพานสูตร ซึ่งคัดลอกมาจากพระไตรปิฎก แว่นตากันแสงแดด อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่านิพพานคืออะไรผมได้แต่พูดล้อเล่นกับเพื่อนๆ ที่ไปด้วยว่าเรารู้เพียงแต่ว่านิพพานไม่ใช่อะไร ไม่เป็นอะไร เช่นบอกว่านิพพานคือการพ้นทุกข์ แต่ไม่ได้บอกว่า พ้นทุกข์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เราไม่รู้และพระไตรปิฎกไม่ได้บอกชัดๆ คือตัวนิพพานเองมีหน้าตาเป็นอย่างไรจริง(เป็นความสุข เป็นความสว่าง หรือว่าเป็นทั้งสุข ทั้งสว่างหรือว่าไมใช่ทั้งสองอย่างคือไม่มีสุขและไม่มีความสว่าง หรือว่าเป็นสุญญตาอย่างยิ่ง)โดยทั่วไปพระมักจะพูดแบบรวมๆ กันว่า นิพพานเป็นทั้งสุขยิ่งสว่างยิ่งและเป็นความว่างยิ่ง (สุญญตา)ผมคิดว่า ความเป็นสุญญตาอย่างยิ่ง กับสุขยิ่ง และสว่างยิ่ง ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ เพราะหากยังรู้ลืกสุข ก็แสดงว่ายังคงภาวะติดยึดในความสุขหลงเหลือภายในจิตอยู่ ดังนั้น นิพพานจึงน่าจะมองในแง่ความสงบยิ่งอนัตตายิ่ง และสุญญตายิ่งมากกว่าแต่หากลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้านิพพานเป็นทั้ง อนัตตา แว่นตาสุดเท่ และสุญญตาแล้วใครคนใดคนหนึ่งเกิดเข้าถึงสภาวะนิพพานขึ้นมาก็คงยุ่งเพราะจิตวิญญาณที่เคยมีอยู่ เกิดหายไป จะทำอย่างไร (พูดเล่นๆ)แต่อย่าตกใจไปเลย เพราะจิตเกิดได้ทุกขณะ ตลอดเวลา และเกิดได้ทุกเงื่อนไข และแปรเปลี่ยนไปได้ บนสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาหรือพูดอย่างสรุปคือ เมื่อดับก็เกิด เมื่อเกิดก็ดับ (คนที่คิดว่า ดับแล้ว บรรลุแล้ว แต่ที่แท้ แค่คิดหรือรู้ตัวเช่นนั้นก็ถึอว่าเกิดแล้ว)ความยุ่งยากคือจะดับโดยไม่เกิด หรือก้าวผ่านวัฏจักรแห่งการเกิดดับซึ่ง เป็นกฎพื้นฐานแห่งธรรมซา ติได้อ ย่างไรพูดแบบตรง ๆ เกือบไม่มีทางเป็นไปได้เลยแต่ที่ดี คือ หลังจากกลับมา จึงนอนคิดว่าอะไรคือ นิพพานนึ่คือคุณค่าของคำว่าปริศนาคือความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ซึ่งมีค่าเลืยยิ่งกว่าความคิดที่คนเรามักจะคิดว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว มีคำตอบแน่ชัดแล้วมีฝ่ายหนึ่งถูก ก็มีอีกฝ่ายหนึ่งผิด
แว่นกันแดด