วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ใส่แว่นตากันแดดแล้วดูดี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แว่นตากันแดด

คนที่อ่านบทความชิ้นนี้ต่อ คงต้องระวังสักนิดเพราะผมจะตีความ ธรรม ตามแนวปัญญา และแนวมหายาน การตีความนี้จึงมีกรอบจำกัดภายใต้เส้นทางที่จำกัดอันหนึ่งเช่นกันนอกจากนี้ ต้องตระหนักว่าผมไม่ใช่คนที่คืกษาธรรมจนทะลุปรุโปร่งอย่างเช่นบรรดาบุคคลที่เข้าใจ หรือคิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องธรรม
แล้วผมเป็นเพียงคนที่สนใจติดตาม และชอบอ่านหนังสือเรื่อง ธรรม เท่านั้นแต่ถึงอย่างไร ผมคิดว่า คำว่า “ธรรม” และ “นิพพาน” ก็คงไม่ได้ผูกขาด แว่นตาแฟชั้่น โดยพระ หรือโดยผู้ที่อ้างตัวว่ารู้ธรรมอย่างลึกซึ้งแต่เพียงฝ่ายเดียวเพราะ สภาวะธรรม คือ ปริศนาอย่างหนึ่งที่บอกว่าเป็นปริศนา เพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาครุ่นคิด ซํ้าแล้วชํ้าอีกแม้แต่คำตอบที่ดูเหมือนพบแล้ว ก็อาจจะยังเป็นปริศนาอยู่เช่นเดิมปริศนาธรรมก่อนเขียนบทความชิ้นนี้ผมได้เดินทางไปสวนโมกขพลารามที่สุราษฎร์ธานี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปสวนโมกข์ฯความตั้งใจคือ อยากจะไปกราบท่านพุทธทาสสักครั้งหลังจากได้กราบท่าน ก็เดินไปดูรอบๆแม้ว่าท่านพุทธทาสจากโลกนี้!ปแล้ว แต่ร่องรอยแห่งความคิด และความเชื่อของท่านก็ดำรงอยู่สิงที่ท่านทิ้งไว้ และสำคัญยิ่งคือ ภาพปริศนาธรรมหรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ธรรม คือปริศนา หรือคำถามคนที่จะเข้าใจธรรมได้ ก็ต้องเข้าใจปริศนาธรรม มีแต่คำถามมากมายที่รออยู่ ที่ต้องการคำตอบนเทธวินทิในพิพิธภัณฑ์แห่งธรรมะของท่านแทนที่จะเป็นข้อเขียนจากพระไตรปิฎกกลับมีภาพมากมายสร้างปริศนาธรรมขึ้น แว่นตาแนวใหม่ ส่วนใหญ่เป็นภาพเซนผมเดินผ่านภาพเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะเคยเห็นแล้ว ตามหนังสือเช่นทั่วไป (เช่นเป็นมหายานประ๓ทหนึ่งเช่นกัน)มีภาพหนึ่งที่ผมหยุดยืนดู และรู้สืกประทับใจคือภาพพระเซนยกมือไหว้ท่อนไม้แห้งตายท่อนหนึ่ง (หรือไม่ก็ก้อนหิน)ที่หยุดดูเพราะผมเคยเห็นรูปปันพระเชน ปันเป็นรูปพระพุทธเจ้ายกมือพนมมาก่อนหน้านี้ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงพนมมือท่านไหวใคร หรือว่าท่านไหว้ผู้ที่ไปไหว้ท่านที่ผมประทับใจคือ ภาพนี้ดูราวจะบอกว่า ธรรม นั้น มีอยู่ทุกหนทุกแห่งการเป็น “พระ” หรือผู้รู้ทางธรรม หรือผู้ตรัสรู้แล้ว ก็หาได้เป็นผู้สูงสุดไม่ ผู้รู้ธรรมล้วนแล้วแต่คือผู้ที่ให้ความเคารพผู้อื่นเสมอสำหรับคนไทย เราคงเห็นแต่ซาวบ้านที่ยกมือไหว้พระ ไม่เคยเห็นพระยกมือไหว้ชาวบ้าน นอกจากนี้ก็เห็น พระไหว้พระพุทธรูป ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นคงไม่มีพระที่ไหนไหว้ต้นไม้ที่ตายซากหลังจากเดินดูพิพิธภัณฑ์ก็จบที่ปริศนาธรรมสุดท้ายว่าด้วยนิพพานสูตร ซึ่งคัดลอกมาจากพระไตรปิฎก แว่นตากันแสงแดด อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่านิพพานคืออะไรผมได้แต่พูดล้อเล่นกับเพื่อนๆ ที่ไปด้วยว่าเรารู้เพียงแต่ว่านิพพานไม่ใช่อะไร ไม่เป็นอะไร เช่นบอกว่านิพพานคือการพ้นทุกข์ แต่ไม่ได้บอกว่า พ้นทุกข์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เราไม่รู้และพระไตรปิฎกไม่ได้บอกชัดๆ คือตัวนิพพานเองมีหน้าตาเป็นอย่างไรจริง(เป็นความสุข เป็นความสว่าง หรือว่าเป็นทั้งสุข ทั้งสว่างหรือว่าไมใช่ทั้งสองอย่างคือไม่มีสุขและไม่มีความสว่าง หรือว่าเป็นสุญญตาอย่างยิ่ง)โดยทั่วไปพระมักจะพูดแบบรวมๆ กันว่า นิพพานเป็นทั้งสุขยิ่งสว่างยิ่งและเป็นความว่างยิ่ง (สุญญตา)ผมคิดว่า ความเป็นสุญญตาอย่างยิ่ง กับสุขยิ่ง และสว่างยิ่ง ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ เพราะหากยังรู้ลืกสุข ก็แสดงว่ายังคงภาวะติดยึดในความสุขหลงเหลือภายในจิตอยู่ ดังนั้น นิพพานจึงน่าจะมองในแง่ความสงบยิ่งอนัตตายิ่ง และสุญญตายิ่งมากกว่าแต่หากลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้านิพพานเป็นทั้ง อนัตตา แว่นตาสุดเท่ และสุญญตาแล้วใครคนใดคนหนึ่งเกิดเข้าถึงสภาวะนิพพานขึ้นมาก็คงยุ่งเพราะจิตวิญญาณที่เคยมีอยู่ เกิดหายไป จะทำอย่างไร (พูดเล่นๆ)แต่อย่าตกใจไปเลย เพราะจิตเกิดได้ทุกขณะ ตลอดเวลา และเกิดได้ทุกเงื่อนไข และแปรเปลี่ยนไปได้ บนสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาหรือพูดอย่างสรุปคือ เมื่อดับก็เกิด เมื่อเกิดก็ดับ (คนที่คิดว่า ดับแล้ว บรรลุแล้ว แต่ที่แท้ แค่คิดหรือรู้ตัวเช่นนั้นก็ถึอว่าเกิดแล้ว)ความยุ่งยากคือจะดับโดยไม่เกิด หรือก้าวผ่านวัฏจักรแห่งการเกิดดับซึ่ง เป็นกฎพื้นฐานแห่งธรรมซา ติได้อ ย่างไรพูดแบบตรง ๆ เกือบไม่มีทางเป็นไปได้เลยแต่ที่ดี คือ หลังจากกลับมา จึงนอนคิดว่าอะไรคือ นิพพานนึ่คือคุณค่าของคำว่าปริศนาคือความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ซึ่งมีค่าเลืยยิ่งกว่าความคิดที่คนเรามักจะคิดว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว มีคำตอบแน่ชัดแล้วมีฝ่ายหนึ่งถูก ก็มีอีกฝ่ายหนึ่งผิด
แว่นกันแดด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น