วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

การประกอบแว่นตากันแสงแดดและการดูแลรักษาแว่นตากันแสงแดดทำได้โดยไม่ยากนัก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ถอดแว่น

ผมสรุปลืงที่ท่านพุทธทาสฝากไว้คือ“ธรรม” คือ ภาพปริศนาอย่างหนึ่ง คือ ภาพช้อนภาพ ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับทุกอย่างที่เราเห็น เราเข้าใจ และแน่นอน ย่อมตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงจากสามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไปความรู้ทั้งหมดที่เรารู้นั้นหาได้ผ่านมายาภาพนื้ไม่หากคือผลผลิตแห่งมายาภาพที่เราเห็นเท่านั้นเพราะไม่มีใครคิดว่า “ธรรม’นั้นคือภาพช้อนที่ช้อนอยู่ภายในพูดในทางกลับกันคือผู้ที่รู้คือ ผู้ที่ไม่รู้ เพราะที่รู้ส่วนใหญ่ รู้จากปรากฏการณ์ที่เห็นและสรุปจากสิงที่เห็นอย่างง่ายๆ ไม่คิดว่า ธรรม คือ ปริศนาใต้ภาพการจะเข้าถึง “นิพพาน’ได้ ต้องเริ่มเข้าใจว่า นิพพาน”แว่นตาเท่ๆก็คือปริศนาอย่างหนึ่งเช่นกันแต่ก่อนที่จะเข้าถึงความเข้าใจว่าอะไรคือ “นิพพาน”ก็ต้องเข้าใจว่าอะไรคือธรรม กล่าวคือเท่ๆ ต้องเข้าถึงธรรม” ก่อนขอโทษผู้อ่านด้วยที่จะเป็นงานออกในแนว ปรัชญา และปัญญาเพราะผมเชื่อว่าพุทธธรรมโดยเนื้อในแล้ว คือ ปรัชญา และปัญญาไม่ใช่ศาสนาดังนั้น การเข้าถึงพุทธธรรมแนวปรัชญาและปัญญาจึงแตกต่างอย่างสินเชิงจากวิถีแห่งลัทธิศาสนาที่ยึดถือกันโดยทั่วไป วิถีลัทธิศาสนาคือการไปเปิดตำราหรือคัมภีร์ดู อยากจะรู้ว่า อะไรคือนิพพานก็อ่านจากพระไตรปิฎกอะไรคือ “ธรรมะ”ธรรมะในที่นื้ คือ ธรรมชาติ หรือการเข้าถึง การเรียนรู้ธรรมชาติที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนั้น มีวิถีการเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติแบบใหญ่ๆแบบแรก คือ วิถีปรัชญาตะวันออก (ในที่นื้ ผมจะพูดเฉพาะพุทธและเต่าเป็นสำคัญ)แว่นตาสุดแนวแบบที่สอง คือ วิถีวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์ยุคนิวตัน ไม่รวมไปถึงฟิสิกส์สมัยใหม่ นับตั้งแต่ควอนตันฟิสิกส์เป็นต้นมา)คนทั่วไปมักจะไปคิดว่าศาสนาพุทธ กับ “วิทยาศาสตร์”ที่พัฒนาขึ้นมาหลังจาก ยุค Enlightenment ที่เกิดขึ้นในยุโรป มีความสอดคล้องกันความจริงแล้วทั้ง 2 ฐานระบบคืดมีรอยแยกที่ไม่อาจจะเชื่อมกันได้แม้แต่น้อยรอยแยกนี้เป็นรอยแยกบนฐานคิดเกี่ยวกับการเข้าใจสภาวะธรรม(ธรรมชาติ) ที่แตกต่างกันอย่างสินเชิงฐานคิดของวิทยาศาสตร์จะเริ่มจากปรากฏการณ์ที่จับต้องได้ เช่น สสารใดสสารหนึ่ง หรือระบบใดระบบหนึ่งเป็นสำคัญฐานคิดของปรัชญาตะวันออกจะเริ่มจากการคิดว่าปรากฏการณ์ที่เห็นคือภาพมายา ‘ธรรม” ดำรงอยู่ใต้มายาภาพเหล่านั้น หมายความว่าธรรมชาติคือ ปริศนาอย่างหนึ่ง หรือความจริง คือสิงที่อยู่ใต้ปรากฏการณ์หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง คือ ธรรมชาติอย่างน้อยมี 2 ชั้น ดำรงอยู่ด้วยกัน และตรงกันข้ามกันอย่างยิ่ง จะเข้าใจ ‘ธรรม”ที่เป็นฐานของธรรมชาติจำเป็นต้องใช้ปัญญาค้นคิดมองผ่านมายาภาพที่เห็นให็ได้ดังนั้น ฐานคิดของชุดปรัชญาแว่นตาฮิตๆตะวันออกกับฐานคิดของวิทยาศาสตร์จึงแตกออกจากกันอย่างสินเชิงสภาวะธรรมของพุทธธรรม คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ในขณะที่พื้นฐานของสภาวะธรรมของ “วิทยาศาสตร์” ก่อนยุคฟิสิกส์ใหม่คือนิจจัง สภาวะแห่งความไม่จำกัด และสภาวะแห่งตัวตน (อัตตา)ที่กล่าวว่าเป็นนิจจังเพราะหลักวิทยาศาสตร์ มีความเชื่อพื้นฐานว่าระบบทุกระบบมีเสถียรภาพที่แน่นอนเป็นฐานของระบบ ตัวอย่างเช่นระบบจักรวาล ก็มีเสถียรภาพเป็นฐานหลักจะมีการเสิยดุลของระบบเกิดขึ้นก็เป็นเพียงสภาวะชั่วคราวเท่านั้นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์จึงแว่นตาถนอมสายตาแตกต่างอย่างสินเชิงจากปรัชญาตะวันออกที่เชื่อว่าสภาวะอนิจจัง คือฐานของธรรมชาติ และระบบสังคมทุกระบบสภาวะที่มีเสถียรภาพ คือ สภาวะชั่วคราวสภาวะทุกขัง คือ สภาวะจำกัด โดยทั่วไปคือความจำกัดของทุกสิงในการคงสภาพหรือดำรงอยู่อย่างเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นตลอดไป นอกจากนี้ทุกอย่างตกอยู่ในสภาวะถูกกำหนด และกระทำจากสิงอื่นๆ มีสภาวะแห่งความทุกข์ คือไม่อาจจะทำอย่างที่ใจตัวเองชอบ และปรารถนาได้ หรือใช้ภาษาอย่างที่เข้าใจกันง่ายๆ คือมีกฎแห่งกรรม หรือชะตากรรมคอยกำกับอยู่ตลอดเวลาหลักวิทยาศาสตร์จะวางอยู่บนความเชื่อเรื่องความทุกข์ยากเช่นกันกล่าวคือ ทุกชีวิตเกิดมาก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ หรือภาษาอังกฤษว่า Struggleแต่จะวางอยู่บนความเชื่อเรื่องความยิ่งใหญ่ และไม่จำกัดชองมนุษย์โดยเชื่อ
แว่นตากันแดด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น